Home
|
โบสถ์ดินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง |
|
ราชมงคลตะวันออก น้อมถวายอภิสัมมานสักการะด้วยโบสถ์ดินแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
หลังจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2556 เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ เนื่องจากการการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 19.30 นาฬืกา นั้น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ขอน้อมส่งเสด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และน้อมรำลึกโดยจัดทำโครงการอุเทนอาสาพัฒนาโบสถ์ดินแบบบดอัดถวายสมเด็จพระสังฆราช เนื่องในโอกาสเจริญพระชันษา 100 ปี ยึดแนวทางตามพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง สร้างพระอุโบสถจากดิน ถวายวัดทับทิมสยาม อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด โดยระดมคณาจารย์ และนักศึกษาอุเทนฯ กว่า 60 ชีวิต เนรมิตรโบสถ์ดิน ในเวลา 26 วัน โบสถ์ดินเป็นโครงการที่สำนักเลขานุการสมด็จพระสังฆราช ได้จัดทำโครงการสร้างพระอุโบสถ์ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระญานสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทั้งนี้สำนักเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวมอบให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เนื่องจากเห็นว่ามหาวิทยาลัยฯ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในสาขาวิชาทางด้านงานก่อสร้าง และมีความพร้อมทางด้านวิชาการ บุคลากร และมีประสบการณ์ในงานก่อสร้างสามารถก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมได้ จึงได้มอบหมายงานนี้ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ เป็นเจ้าของโครงการ ฯ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ อาจารย์ทองพูล ทองสีเพชร ได้กล่าวถึงจุดเริ่มของโครงการอุเทนอาสาพัฒนาโบสถ์ดินแบบบดอัดถวายสมเด็จพระสังฆราชว่า สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้จัดทำโครงการสร้างพระอุโบสถ์ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระญานสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 99 พรรษา ในครั้งแรกมีโครงการสร้าง 4โบสถ์ 4 ภาค แล้วจึงได้ขยายเป็น 9 โบสถ์ในเวลาต่อมาว่า โดยสาขาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมสถาปัตยกรรมศาสตร์ ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าของโครงการ มีผู้ช่วยศาสตราจารย์วิทวัส สิทธิกูล เป็นหัวหน้าโครงการการก่อสร้าง การควบคุมงาน ร่วมทั้งหาผู้มีจิตศรัทธาสนับสนุนการก่อสร้างโบสถ์ดิน วิทยาเขต อุเทนฯ เริ่มได้โครงการครั้งแรกสร้างโบสถ์ดินถวายวัดบุเจ้าคุณ จังหวัดนครราชสีมา วัดสันติวรคุณ จังหวัดสงขลา วัดตัวอย่าง จังหวัดสระบุรี และหลังที่สี่คือสร้างถวายวัดทับทิมสยาม อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระสังฆราช เนื่องในโอกาสเจริญพระชันษา 100 ปี สำหรับการก่อสร้างครั้งนี้ใช้แรงงานเป็นนักศึกษาของวิทยาเขตอุเทนฯ จำนวน 60 คน ในโครงการออกค่ายอาสาประจำปี 2556 โดยกำหนดช่วงปิดภาคการศึกษา เริ่มตั้งแต่วันที 1-26 ตุลาคม 2556 และโบสถ์ดินหลังนี้จะใช้เวลาในการก่อสร้างเพียง 26 วันเท่านั้น ซึ่งวิทยาเขตฯ มีความภาคภูมิใจ ที่ได้ทำงานถวายสมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นอย่างมาก” สำหรับบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญในโครงการนี้ ที่ต้องกล่าวถึงคือหัวหน้าโครงการผู้ช่วยศาสตราจารย์วิทวัส สิทธิกูล อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในฐานะผู้เป็นเจ้าของแนวคิดการออกแบบผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และนำนักศึกษาไปออกค่ายอาสาฯ สร้างโบสถ์ดิน หลังที่ 4 ที่สร้างถวายวัดทับทิมสยาม จังหวัดตราด อาจารย์วิทวัส สิทธิกูล ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “รู้สึกดีใจมากที่ได้รับโอกาสในการสร้างโบสถ์ดินหลังที่ 4 ถวายสมเด็จพระสังฆราช เป็นความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้นำความรู้ทางด้านวิศวกรรมโยธา มาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างงานให้กับสังคมในการสืบทอดพระพุทธศาสนา และร่วมฉลอง 100 พรรษาสมเด็จพระสังฆราชของเราชาวไทย ตนเองเป็นหัวหน้าโครงการนี้ ได้นำความรู้ทางวิชาการที่ได้จากการสอน การทำวิจัย และประสบการณ์ มาสร้าง และออกแบบโครงสร้างโบสถ์ดินร่วมทั้งพิจารณาเลือกวัสดุดินที่จะมาใช้ในการก่อสร้าง พระอุโบสถ์ดินหลังนี้ออกแบบแตกต่างจาก 3 โบสถ์แรก เป็นการผสมผสานความคิดจากพระอุโบสถวัดหลวง 3 วัด คือพระอุโบสถ์วัดพระรามเก้า วัดราชาธิวาส นครปฐม และวัดเฉลิมพระเกียรติ นนทบุรี โดยการก่อสร้างครั้งนี้มีการนำข้อดี ข้อเสียจากการสร้างโบสถ์ดิน 3 หลังแรกมาปรับปรุงให้ดีขึ้น ใช้เทคนิคการก่อสร้างแบบใหม่ด้วยเทคนิคก่อสร้างโบสถ์ดินแบบบดอัด (Rammed Earth) โครงสร้างโดยรวมของพระอุโบสถ์หลังนี้คือยึดสถาปัตยกรรมเน้นความสะดวกตามแบบ Universal Design ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่จะให้สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างเท่าเทียมกัน จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของโบสถ์ดินหลังนี้นอกจากการสร้างจากดินแล้ว คือ มีทางลาดสำหรับรถเข็น (Wheel Chair) ของผู้สูงอายุและคนพิการสามารถขึ้นถึงภายในตัวโบสถ์เพื่อมากราบไหว้พระประธานได้ พื้นโบสถ์เจาะช่องเป็นหลุมๆ สำหรับหย่อนขาพร้อมเก้าอี้ทรงเตี้ยและพนักพิง อำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ เพื่อมิให้นั่งสูงเกินกว่าพระสงฆ์ แต่ยังคงมีลักษณะเป็นโบสถ์ดินแบบดินอัด ขนาดของพระอุโบสถ์มีขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนโบสถ์ทั่วไป แต่ไม่เล็กมากเกินไป เหมาะสำหรับพระสงฆ์ประกอบสังฆกรรมได้ ขนาดความกว้างประมาณ 6.85 เมตร ความยาว 15.35 เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงยอด ประมาณ 11.70 เมตร ผนังโบสถ์ใช้ระบบดินแบบบดอัดมี ความหนาประมาณ 39 เซนติเมตร ในส่วนของวัสดุดินที่นำมาก่อสร้างเป็นการผสมปูนซีเมนต์ ดินลูกรัง ซึ่งดินที่นำมาก่อสร้างล้วนเป็นดินในท้องถิ่นนี้ ด้วยอัตราส่วน 1: 7 โดยปริมาตร ซึ่งมีความแข็งแรงเทียบเท่าอิฐบล็อกประสาน (100 KSC ) ใช้ดินลูกรัง ประมาณ 120 ลูกบาศก์เมตร ส่วนผนังไม่งานการฉาบปูน ทาสี เพราะมีสีดินธรรมชาติท้องถิ่นที่สวยงามอยู่แล้ว ในส่วนของประตู และหน้าต่าง ใช้แผ่น VIVA BOARD ใช้เป็นเป็นโครงสร้างกรอบบาน ผังลงไปขณะก่อสร้างพร้อมการบดอัดผนังโบสถ์ ในส่วนของกรอบบานประตู-หน้าต่าง ใช้แผ่น VIVA BOARD ใช้เป็นเป็นโครงสร้างกรอบบาน แต่มีการเสริมโครงไม้ให้แข็งแรงมากขึ้น โครงหลังคาเหล็ก และวัสดุมุงหลังคาด้วยไม้สน Cedar จาก Cannada กับคำถามที่ว่าโบสถ์ดินที่สร้างนี้มีความแข็งแรงเพียงไร อาจารย์วิทวัส สิทธิกูล กล่าวว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ถูกถามบ่อย เมื่อพานักศึกษาออกค่ายอาสาฯ เพราะชาวบ้านต่างมีความสงสัยและคาดหวัง ต้องการโบสถ์ที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ มีมาตรฐานสูงกว่าอาคารทั่วๆไป จากการศึกษา มีอาคารมากมายที่สร้างจากดิน เช่น อาคารในประเทศจีน ตะวันออกกลาง อินเดีย และอีกเป็นจำนวนมากที่ยังคงใช้งานได้อยู่ จากการนำดินลูกรังมาศึกษาในห้องปฏิบัติการที่อุเทนถวาย ได้ทำการออกแบบส่วนผสม ระหว่างซีเมนต์ผสมดินลูกรัง ด้วยอัตราส่วนต่างๆ หลังจากหล่อแท่งตัวอย่าง เมื่ออายุ 28 วัน แล้วนำมาทดสอบกำลังอัด ผลตามสรุปได้ว่า ถ้านำสูตรส่วนผสมนี้ไปสร้างอาคารดินแบบบดอัด โครงสร้างอาคารมีความแข็งแรงดีอย่างเพียงพอ ซึ่งมีค่าความแข็งแรงมากกว่าอิฐที่ใช้ในงานก่อสร้างทั่วๆไป เช่น อิฐมอญ อิฐบล็อก อิฐมวลเบา และ อิฐบล็อกประสาน อาจารย์วิทวัส ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การก่อสร้างครั้งนี้ดีใจที่สุดที่แรงงานทั้งหมดเป็นนักศึกษาของวิทยาเขตอุเทนถวาย ที่ร่วมกันมาออกค่ายอาสา จำนวน 60 คน และมีระยะเวลาในการก่อสร้างที่สั้นและรวดเร็วที่สุดเพียง 26 วัน คือเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 26 ตุลาคม 2556 อีกทั้งในวันสุดท้ายที่ถือว่าเสร็จสิ้นโครงการก่อสร่างโบสถ์ดิน ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จะถือฤกษ์นี้ นำผ้าพระกฐินพระราชทานมาทอดถวายที่วัดทับทิมสยามนี้ด้วย พระอุโบสถ์ดินหลังนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมไทยใหม่ที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมพระอุโบสถของไทยที่ก่อสร้างจากดินบนแผ่นดินไทย อีกทั้งยังเป็นความร่วมมือ ร่วมใจกันอย่างน่าชื่นชมระหว่างมหาวิทยาลัย อาจารย์ และนักศึกษา ท่านใดสนใจร่วมบริจาคทุนทรัพย์เพื่อสมทบทุนการก่อสร้าง หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์กลางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก สำนักงานอธิการบดี วิทยาเขตบางพระ หมายเลขโทรศัพท์ 038 358 201, 08 9169 9939 www.uten.rmutto.ac.th |
|
|
Date
เสาร์, 04 พฤษภาคม 2024
|