ชลบุรีจัดสัมมนายุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และปาฐกถาพิเศษเรื่อง การสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

     วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558 นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ให้การต้อนรับ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานเปิดการสัมมนายุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และปาฐกถาพิเศษเรื่อง การสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ณ ห้องแสนสุข โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ บางแสน จังหวัดชลบุรี และได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมกลุ่มยุทธศาสตร์ภาคตะวันออก ณ ห้องประชุมชลบุรี ชั้น3 ศาลากลางจังหวัดชลบุรี
     ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนระยะ 7 ปี (พ.ศ. 2558 - 2564) เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณค่า ทั้งในประเทศและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ก้าวพ้นการเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง และช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
     นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า จังหวัดชลบุรีหรือที่คนทั่วไปเรียกกันสั้นๆว่า เมืองชล เป็นเมืองชายทะเล ที่มีเสน่ห์ เป็นจังหวัดท่องเที่ยวชายทะเลภาคตะวันออกที่มีชื่อเสียงมานาน ด้วยความได้เปรียบทางทำเลที่ตั้งทำให้ชลบุรีกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองหลักทางด้านอุตสาหกรรมและการค้าของภาคตะวันออก ศักยภาพและความโดดเด่นในหลายด้านของเมืองชลทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชลบุรีกลายเป็น เพชรน้ำเอกแห่งบูรพาทิศ และเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่สำคัญของประเทศไทย
     สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่ได้รับทราบแนวนโยบายเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการในภูมิภาคนี้ โดยพื้นที่ภาคตะวันออกนั้นถือเป็นศูนย์กลางการผลิตของอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดยปัจจุบัน มีผู้ประกอบการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนให้พื้นที่ภาคตะวันออกประมาณ 2,130 บริษัท เงินลงทุนประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท
     ด้าน นางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เห็นว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีความจำเป้ฯอย่างยิ่งที่สำนักงานฯ ต้องปรับทิศทางยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งต้องสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคตตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล และแผนพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ และมีการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว
     สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมกรลงทุน ได้เริ่มดำเนินการศึกษาทบทวนยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้นปี 2554 โดยได้ศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน มีการจัดประชุมหารือกับผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเอกชนทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงได้นำความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุให้มีความเหมาะสม จนเกิดเป็น ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ ในระยะ 7 ปี (2558 – 2564) ที่มุ่งส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณค่า ทั้งในประเทศและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน ก้าวพ้นจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง (Middle Income Trap) และเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
     สำหรับการประชุมสัมมนาในวันนี้ มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายทิศทางและเป้าหมายของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ ให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติหน่วยงานของรัฐและเอกำชนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทราบ และเป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้มีการชักถามเพื่อตอบข้อสงสัยต่างๆ นำไปสู่คามรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป และการสัมมนาในวันนี้ได้นำเสนอเป็นภาษาไทย และมีล่ามแปลเป็นภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นในเวลาเดียวกันด้วย
     หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มประสบกับข้อจำกัดหลายประการ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลังต่ำกว่าในอดีต โดยเฉพาะในช่วงปี 2557 ประเทศไทยเผชิญกับภาวะความไม่สงบทางการเมืองเป็นระยะเวลานานหลายเดือน ส่งผลกระทบต่อประเทศเป็นวงกว้าง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังมีข้อจำกันของการเติบโตทางเศรษฐกิจหลานประการ เช่น การชาดแคลนแรงงาน ข้อจำกัดในการขยายฐานอุตสาหกรรมหนัก เช่น ปิโตรเคมี เหล็กต้นน้ำ เป็นต้น ปัญหาการแข่งขันในการชักจูงการลงทุนรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ และเวียดนามสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ และข้อจำกัดในเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบบางประการที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ
     การพัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากทั้งสิงคโปร์และฮ่องกง ดั้งนั้น รัฐบาลได้เห็นความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้าและการลงทุนของภูมิภาค โดยรัฐบาลได้ดำเนินการคืบหน้าไปมาก เช่น การพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐาน มีการจัดทำแผนลงทุนทั้งรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รถไฟทางคู่ รถไฟกึ่งความเร็วสูง โครงการการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและเอื้อต่อการท่องเที่ยวและการทำธุรกิจระหว่างประเทศ อีกทั้งมีการปรับปรุงระบบราชการ กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมทั้งนโยบายการส่งเสริมการลงทุนใหม่ เป็นต้น
     นอกจากนี้ การปฏิรูปนโยบายส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ได้เน้นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่พืชผลทางการเกษตรของประเทศ การประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ต้องเป็นอุตสาหกรรมสะอาด ไม่มีมลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการลงทุนที่ก่อให้เกิดความสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่งแวดล้อมต่อไป

ปริญญา/ข่าว/ภาพ