เตรียมเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ |
|
นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังระดมสมอง หาแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมมอนนโยบายการเพิ่มตู้สินค้า เน้นย้ำการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาค
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม แนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 4 สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี โดยมี พล.ร.อ.โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศ เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร, ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเรือโทชำนาญ ไชยฤทธิ์และร้อยตำรวจตรีมนตรี ฤกษ์จำเนียร อธิบดีกรมศุลกากร นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานและองค์กรต่างๆของไทย โดยเรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เผยว่า การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะในครั้งนี้ ได้มอบนโนบายโดยรวมในการพัฒนาท่าเรือ การเพิ่มปริมาณตู้สินค้า การเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมได้เน้นย้ำการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาคและ กลุ่ม CLMV ทั้งการขนส่งสินค้าและการสัญจร โดยได้มีการรายงานแผนงานเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ซึ่งการท่าเรือฯ ได้ศึกษาโครงการท่าเรือบก หรือ Dry Port เพื่อดึงตู้สินค้าจากประเทศจีนและกลุ่ม CLMV มายังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ และยังช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรทางถนน ลดความคับคั่งของท่าเรือด้วยการขนส่ง 2 ระบบ โดยเฉพาะทางราง โครงการเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน หรือ Land Bridge ด้วยท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งไทยเชื่อมด้วยถนน Motorway ราง และรถไฟ เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ การขนส่งของประเทศและสามารถขยายศักยภาพเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและเอเชียใต้ และโครงการสะพานไทย หลักการสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับ คือการศึกษาทั้ง 3 โครงการนั้น ต้องสร้างความเชื่อมโยง ให้เห็นความคุ้มค่าในการลงทุน และเกิดผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจระหว่างทางด้วย โดยใช้รูปแบบการลงทุนแบบ PPP เพื่อประหยัดงบประมาณเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือประชาชน โดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ ทุกหน่วยงานต้องเร่งทำงาน ใช้ช่วงโควิด-19 เตรียมพร้อมประเทศ เสริมความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่สามารถเปิดรับเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ผ่านได้ทันที ทั้งนี้ ในปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบัง มีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าโดยในขั้นที่ 1 รองรับได้ 4.3 ล้าน TEU ขั้นที่ 2 รองรับได้ 6.8 ล้านTEU และเมื่อพัฒนา ระยะที่ 3 เสร็จสมบูรณ์แล้วจะรองรับได้เพิ่มอีก 7.0 ล้านTEU รวมทั้งสิ้นเป็น 18.1 ล้านTEU |