ทลฉ.เริ่มสร้างตัวท่าเรือเฟส 3 ยกระดับสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ ของภูมิภาค |
|
เริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มั่นใจหากแล้วเสร็จ สามารถยกระดับประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ของภูมิภาค ขานรับนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
เรือเอกกาญจน์ เมนะรุจิ รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เผยถึง ความคืบหน้าโครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 นั้น ขณะนี้ ถือว่าเริ่มดำเนินการแล้ว โดยมีการแบ่งงานออกเป็นหลายส่วน ซึ่งส่วนแรก คือการขุดลอกและนำดินดังกล่าวมาถมเพื่อก่อสร้างเป็นตัวท่าเรือ โดยมีการลงนามและได้ผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของท่าเทียบเรือ F1 คาดแล้วเสร็จ ปี 2567 ซึ่งจะรองรับได้ 4 ล้านทีอียู สอดรับกับกำลังการรองรับของท่าเรือแหลมฉบังเต็ม 11 ล้านทีอียูในปี 2567 สำหรับส่วนที่ 2 คือ โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และตัวแผ่นดินที่จะเป็นรูปแบบของตัวท่าเรือ ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่างขอบเขต เพื่อดำเนินการด้านพัสดุ คาดว่าต้นปี 2564 จะสามารถหาผู้รับจ้างต่อไป ส่วนอื่นๆก็จะดำเนินการตามกรอบของเวลาที่กำหนดไว้ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 นั้น มีความสำคัญในระดับประเทศ และเป็นหนึ่งในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ดังนั้นทางกระทรวงคมนาคม และรัฐบาล ได้ให้ความสนใจและเข้ามาติดตามตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการเพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่เหมาะสมตลอดเวลา แต่อีกส่วนหนึ่ง ที่คาบเกี่ยวการดำเนินในการก่อสร้าง คือ ด้านสิ่งแวดล้อม เพราะโครงการแหลมฉบังเฟส 3 มีผลกระทบกับชุมชนโดยรอบที่ทำการประมง และเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยที่ผ่านมาท่าเรือแหลมฉบัง ได้เข้าไปเยียวยากลุ่มดังกล่าว มาได้ระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่าในปีหน้าจะบรรลุข้อตกลงร่วมในการเยียวยาส่วนต่างๆกับชาวบ้านและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาการก่อสร้าง ท่าเรือแหลมฉบังจะต้องเข้าไปกำกับดูแล เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไข ของกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการขุดลอกร่องน้ำ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของฝั่งทะเล ที่อาจจะส่งผลต่อมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้นท่าเรือฯ จึงได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการกำกับดูแลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังได้จัดตั้งกองทุนที่จะชดเชยเยียวยากรณีที่มีผลกระทบเกิดขึ้น เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นยุติโดยเร็ว เรือเอกกาญจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 นั้น ถูกกำหนดไว้ในข้อกำหนดในแผน EHIA. แล้ว เช่น ฝุ่นบนท้องถนน ซึ่งได้กำหนดเส้นทางในการขนส่งวัสดุอุปกรณ์ไว้แล้ว เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ที่อยู่โดยรอบท่าเรือให้น้อยที่สุด ส่วนการขุดลอกร่องน้ำนั้น จากความลึก 16 เมตร เป็น 18.5 เมตรนั้น สิ่งที่อยู่ใต้ทะเลนั้นยังไม่ทราบว่ามีสารเคมีอะไรสะสมอยู่บ้าง ดังนั้นบริษัทที่ปรึกษาจะต้องตรวจสอบและวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ และหากมีปัญหาก็ต้องหามาตรการในการป้องกันให้ทันท่วงที คาดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย “ท่าเรือแหลมฉบัง และการท่าเรือแห่งประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ให้เป็นท่าเรืออันดับ 1 ของประเทศ ที่มีทั้งประสิทธิภาพคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า ท่าเรือแหลมฉบัง จะนำความเจริญและเศรษฐกิจที่ดี สู่ประเทศชาติในอนาคต อย่างแน่นอน” เรือเอกกาญจน์ กล่าว |