นับถอยหลังอีก 191 วัน ถึงวันสำมะโนประชากรและเคหะ(1 กรกฎาคม 2553)

     วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิด จัดเสวนา โครงการสำมะโนประชากระและเคหะ พ.ศ.2553 โดยได้รับการสนับสนุนกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ณ ห้องแปซิฟิก โรงแรมเดอะไทด์ รีสอร์ท บางแสน จังหวัดชลบุรี

      สำนักงานสถิติจังหวัดชลบุรี ร่วมกับจังหวัดชลบุรี จัดโครงการสำมะโนประชากระและเคหะ พ.ศ.2553 ซึ่งได้รับการสนับสนุนของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นประโยชน์ และมีส่วนร่วมในการทำสำมะโนประชากรและเคหะของประเทศ เป็นการรณรงค์ผลักดันให้ผู้บริหารประเทศ ผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบาย ผลักดัน ขับเคลื่อนนโยบายและโครงการต่างๆ ที่ส่งผลให้ประเทศพัฒนาก้าวหน้าต่อไป

      นางณัฏพิชา นาคสมบูรณ์ สถิติจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในโลก ประมาณ 230 ประเทศได้มีการทำสำมะโนประชากรมาช้านาน ประเทศที่ทำสำมะโนประชากรเป็นประเทศแรก คือประเทศแคนาดา ซึ่งทำในปี ค.ศ.1666 เป็นเวลา 343 ปีมาแล้ว ส่วนประเทศไทยได้จัดทำสำมะโนประชากรมาแล้ว 10 ครั้ง ครั้งแรกทำในปี พ.ศ.2452 และในปี พ.ศ.2553 เป็นการทำครั้งที่ 11 นับได้ว่ามีการทำสำมะโนประชากรในประเทศไทยครั้งนี้ครบ 100 ปีพอดี ในการที่จะนับจำนวนคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย รวมทั้งการแจกแจงว่าคนเหล่านั้นมีคุณลักษณะอย่างไร และกระจายตัวกันอยู่ที่ไหนในประเทศไทยการแจงนับคนทั่งหมดที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทย เช่นนี้ เรียกว่า การทำสำมะดนประชากร ซึ่งเป็นเสมือนการฉายภาพนิ่งของคนทั้งประเทศในเวลาเดียวกัน คือ วันสำมะโนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 ประชากรกลุ่มคนที่สำคัญที่รัฐบาลต้องดูแล และให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการทำสำมะโนประชากรและเคหะ สามารถสะท้อนภาพ ลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจและสังคม คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของกลุ่มคนเหล่านี้ ดังนั้น ผู้บริหารประเทศ ภาคราชการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้การวางแผนช่วยเหลือผู้ด้วยโอกาสในสังคม ได้ตรงกับสภาพปัญหาที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการทำสำมะโนประชากรและเคหะในปีหน้านี้ เป็นการทำสำมะโนประชากรและเคหะ ครั้งที่ 11 ซึ่งครบ 100 ปีพอดีในวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 ทำให้ประเทศชาติมีข้อมูลที่สะท้อนข้อเท็จจริงของประชากรทั้งประเทศในพื้นที่ต่างๆ ในระดับหมู่บ้าน อำเภอ ตำบล เทศบาล และ อบต. เพื่อให้ใช้ในการวางแผนบริหารประเทศในเจริญก้าวหน้าและประชาชนอยู่ดีมีสุขต่อไป

      นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า การทำสำมะโนประชากร จะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนที่อาศัยอยู่จริงในประเทศและพื้นที่ต่างๆ ในระดับพื้นที่ย่อย เช่น อบต. หมู่บ้าน เทศบาล ช่วยในการตัดสินใจของรัฐบาลและผู้บริหารระดับต่างๆ ในการวางแผนนโยบายและแผนงานโครงการได้ลงลึกถึงระดับท้องถิ่นได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และส่งผลให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ตลอดจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ใช้ในการบริหารจัดการและประเมินโครงการต่างๆ ด้านการพัฒนาครอบครัว เคหะที่อยู่อาศัย การศึกษา สุขภาพอนามัย การคมนาคมขนส่ง การพัฒนาเมืองและชนบท

      นอกจากนี้ภาครัฐใช้ข้อมูลจากสำมะโนประชากรในการพัฒนาประเทศแล้ว ภาคเอกชนยังสามารถใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจในการประกอบธุรกิจในสาขาต่างๆ การผลิตสินค้าเพื่อขาย หรือบริการแล้ว คุณค่าของสำมะโนประชากรและเคหะอีกประการหนึ่ง คือเป็นข้อมูลฐานในการฉายภาพประชากรของประเทศไทยในอนาคต ถ้าไม่มีข้อมูลฐานที่เชื่อถือได้ก็ยากที่จะคาดประมาณภาพประชากรของประเทศไทยในอนาคตที่ถูกต้องได้ ดังนั้น สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 เป็นภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประชากรของประเทศไทยมีเท่าไรเป็นชาย เป็นหญิง อายุเท่าไร มีสถานภาพสมรส การศึกษา การอ่านออกเขียนได้ การทำงานประกอบอาชีพต่างๆ การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อย่างไร ข้อมูลเหล่านี้เป็นฐานความรู้ เพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรคนไทยทุกคนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

      อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในการที่ประเทศจำเป็นต้องทำสำมะโนประชากรและเคหะ ประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการทำสำมะโนประชากรและเคหะ และประชาชนทุกคนจะมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างไร

2009-12-23