รมช.กระทรวงการคลังเยี่ยมชมโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ที่มีสินค้าประเภทน้ำมันที่กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสูงที่สุดในจำนวนสินค้าที่มีการจัดเก็บภาษีทั้งหมด

     เมื่อเวลา 13.30 น. ( 10 ก.พ.53)ที่บริษัทไทยออยล์จำกัด(มหาชน) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีนายแพทย์พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.กระทรวงการคลังพร้อมด้วย ดร.อารีพงษ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรรมสรรพสามิต และ คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิต ได้เดินทางมาเยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัทไทยออยล์จำกัด(มหาชน) เพื่อดูการบริหารจัดการและการทำงานของบุคลากรฝ่ายต่างๆโดยที่มีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทไทยออยล์จำกัด(มหาชน) ให้การต้อนรับพารับฟังบรรยายสรุปและเดินทางเยี่ยมชมโรงกลั่นน้ำมัน

     หลังจากนั้นนายแพทย์พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.กระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยหลังจากที่ได้เยี่ยมชมโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ ว่าสินค้าสรรพสามิตประเภทน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเป็นสินค้าที่กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสูงที่สุดในจำนวนสินค้าที่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งหมดประมาณ 90,000 ล้านบาทในปี2552 ดังนั้นจึงควรศึกษาภาพรวมของธุรกิจน้ำมันทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของธุรกิจน้ำมัน การส่งออกน้ำมัน โดยเฉพาะการควบคุมการเคลื่อนย้ายน้ำมันของกรมสรรพสามิต

     โดยที่บริษัทไทยออยล์จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีสัดส่วนการชำระภาษีสรรพสามิตสูงสุดประมาณ 18,000 ล้านบาทหรือร้อยละ 20.16 ของรายได้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งหมด อีทั้งยังเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่มีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิค นอกจากนี้ยังเป็นโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกที่สามารถกลั่นน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ตามมาตรฐานยูโร4 ซึ่งเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการแก้ไขและป้องกันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

     ทางด้านดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่ากรมสรรพสามิตได้พยายามบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้เป็นไปตามเป้าหมายควบคู่กับการสร้างมาตรฐานและสร้างความเป็นธรรม โดยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการให้มีศักยภาพทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น อาทิยกเว้นภาษีสำหรับน้ำมันที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่จำหน่ายให้เรือประมงในเขตต่อเนื่อง(น้ำมันเขียว)และภาษีสำหรับน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตในโรงอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมขั้นต่อเนื่องเช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พื้นฐานในอุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้  สร้างความรัดกุมในระบบควบคุมการบริหารการจัดเก็บภาษีน้ำมัน โดยกำหนดให้มีการซีล ท่อทางรับจ่ายน้ำมันของรถขนส่งทั้งหมดก่อนเคลื่อนย้ายน้ำมันออกจากโรงกลั่นไปยังด่านพรมแดนระหว่างประเทศและการติดตามการเคลื่อนย้ายน้ำมันทั้งรับเข้าและจ่ายออกจากคลังน้ำมันชายฝั่งแบบ Real Time ผ่านศูนย์ปฏิบัติการน้ำมัน  การอนุญาตให้จัดตั้งคลังก๊าซLPG ลอยน้ำเพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซจากต่างประเทศในส่วนที่เกินความสามารถรองรับก๊าซนำเข้าของคลังน้ำมันบนบก โดยเรือลำเลียงที่มีการผสมผลิตภัณฑ์ Propane และ Butane เป็นก๊าซ จะต้องจดทะเบียนเรือลำเลียงเป็นโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 19 ลำ เพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงที่คลังก๊าซบนบกไม่สามารถรองรับก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศได้
 
     โดยในปีงบประมาณ 2552 กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ภาษีจากน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันได้รวม 91,058.54 ล้านบาท สูงกว่าปีงบประมาณ 2551 จำนวน 23,847.15 ล้านบาทหรือร้อยละ35.48 โดยแบ่งเป็นน้ำมันที่ผลิตในประเทศ 89,817.50 ล้านบาท และน้ำมันที่นำเข้าจากต่างประเทศ 1,241.04 ล้านบาท และรายได้ภาษีสรรพสามิตใน4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 (ต.ค.52-ม.ค.53) จัดเก็บภาษีได้รวม 134,873 ล้านบาทสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนจำนวน 60,664 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.75 (ปีก่อนเก็บได้74,209 ล้านบาท) และในปีงบประมาณ 2552 กรมสรรพสามิตสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดในคดีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันได้รวม 1,096 คดี ค่าเปรียบเทียบปรับรวม 47.01 ล้านบาท

     จากการที่ได้พาคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตเยี่ยมชมการดำเนินการธุรกิจน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ในครั้งนี้ได้มองว่าประกอบกับแนวโน้มที่ดีขึ้นของสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ กรมสรรพสามิตคาดการณ์ว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันและผลิตภัณฑ์ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

2010-02-10