เสี่ยใหญ่เมืองชลฯโวยบริษัทกล้องวงจรปิดชื่อดังเอาเปรียบลูกค้า
เสี่ยใหญ่เจ้าของกิจการเกี่ยวกับเศษเหล็ก โลหะและมีตำแหน่งเป็นประธาน กต.ตร.สภ.เสม็ด เข้าร้องเรียนสื่อ ว่าโดนบริษัทกล้องวงจรปิดชื่อดัง เอาเปรียบผู้บริโภค โฆษณาเกินความเป็นจริง ของหายกลับไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้ตามที่โฆษณา ของหายจ่ายจริง รวมทั้งได้รับการบริการที่ไม่น่าพอใจ ซ่อมนาน จนทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปเกือบสองแสนบาท นายพงศกร พงศกรพงศา อายุ 48 ปี ประธานกรรมการบริษัทอิสเทิร์น สตีล อินดรัสทรี จำกัด และเป็นประธานกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ สภ.เสม็ด (กต.ตร.) ได้เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนอำเภอศรีราชา ว่าถูกบริษัทฯที่จัดจำหน่ายกล้องวงจรปิด ฟูจิโกะ เอาเปรียบผู้บริโภค ด้วยการจัดจำหน่ายสินค้าไม่ได้คุณภาพ ซ่อมนาน และไม่ทำตามที่บริษัทฯได้โฆษณาเอาไว้หรือโฆษณาเกินความจริง ที่ว่า “ของหายจ่ายจริง” โดยทรัพย์สินที่สูญหายไป 3 ครั้ง รวมมูลค่าเกือบสองแสนบาท และเตรียมรวมตัวผู้เสียหายที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันมารวมตัวเพื่อร้องเรียนไปยัง สคบ. เพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่างต่อไป โดยนายพงศกร ได้กล่าวให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า “เมื่อประมาณปี 2551 ตนได้ทำการซื้อกล้องวงจรปิด ยี่ห้อ ฟูจิโกะ ไปจำนวนกว่า 40 ตัว รวมทั้งอุปกรณ์ติดตั้งอื่น ๆ อีก รวมทั้งเครื่อง DVR ที่เป็นตัวบันทึกข้อมูลจากกล้อง ซึ่งปรากฏว่าซื้อไปไม่เกินสองเดือน กล้องวงจรปิดกว่า 10 ตัวก็เกิดใช้ไม่ได้ ตนจึงส่งไปที่บริษัทเอส.จี.ดี.อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ที่ห้าง ตึกคอม สาขาศรีราชา เพื่อส่งซ่อมตามระยะเวลาที่มีประกัน ซึ่งบริษัทฯใช้ระยะเวลาร่วมเดือนกว่าจะซ่อมเสร็จ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว สินค้าในโกดังก็เกิดการสูญหายขึ้น ตนจึงแจ้งไปทางบริษัทฯ ว่าของหาย ตามที่บริษัทฯกล้องวงจรปิดได้ลงโฆษณาไว้ว่า ของหายจ่ายจริง แต่บริษัทฯกลับไม่รับผิดชอบ พร้อมทั้งแจ้งว่า ถ้าเกิดของหายและกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ ทางบริษัทฯยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายให้ ตนจึงร้องว่าในเมื่อกล้องวงจรปิดของบริษัทฯดังกล่าวที่ตนซื้อ ตนได้ส่งไปซ่อมและใช้เวลานานร่วมเดือนกว่าจะซ่อมเสร็จ แล้วจะจับภาพได้อย่างไร” “พอมาครั้งที่สอง หลังจากรับกล้องที่ส่งไปซ่อมได้ไม่นาน ตัว DVR ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลก็เกิดเสียอีก จึงส่งไปซ่อมที่เดิม และเจ้าหน้าที่ได้บอกว่าต้องรอให้บริษัทฯเคลมประกัน ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ถึงจะซ่อมเสร็จ ในระหว่างนั้นทรัพย์สินที่อยู่ในโกดังของตนก็ได้เกิดการสูญหายอีกเป็นครั้งที่สอง” และครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 เครื่อง DVR ก็ได้เสียหายอีก จึงได้ส่งให้ทางบริษัทฯรับไปซ่อม จนถึงทุกวันนี้ ตนเองก็ยังไม่ได้รับเครื่องคืน โดยตนเองได้โทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางบริษัทฯซึ่งได้รับการผัดผ่อนมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2553 เป็นต้นมาจนปัจจุบันยังไม่ได้รับเครื่องที่ส่งไปซ่อมคืนเลย และในช่วงเวลาดังกล่าวทรัพย์สินของตนภายในโกดังก็ได้สูญหายไปอีกหลายรายการ รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสามครั้งรวมเกือบสองแสนบาท” นายพงศกร ได้กล่าวต่อไปว่า “ที่ตนออกมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ ตนเองเห็นว่าบริษัทฯดังกล่าวเอาเปรียบผู้บริโภค โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใส่ใจเรื่องการบริการหลังการขาย ซึ่งผลเสียจะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค ตนจึงออกมาร้องขอความเป็นธรรม อยากให้เป็นคดีตัวอย่างที่ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากการบริการหลังการขาย ถ้าบริษัทฯเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่รีบดำเนินการซ่อมให้ ก็อาจไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงอยากให้ผู้บริโภคเจอเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันมารวมตัวกันร้องเรียนไปยัง สคบ. โดยตนยินดีจะเป็นแกนนำในเรื่องนี้ให้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่อยู่ในระยะเวลารับประกันจนหมดระยะเวลารับประกันก็ยังเป็นเช่นนี้” ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทางบริษัทฯได้แจ้งให้ทราบว่า “ต้องติดต่อไปที่ทางบริษัทใหญ่ที่กรุงเทพฯ จึงจะสามารถให้รายละเอียดได้ดีที่สุด ซึ่งตามสัญญาของบริษัทฯนั้นได้ให้การรับประกันตัวอุปกรณ์และการรับประกันของหายนั้นมีสัญญา 1 ปี ซึ่งบริษัทประกันนั้นเป็นของบริษัทกรุงเทพประกันภัย ทางสาขาที่ตึกคอม ศรีราชา ไม่สามารถให้คำตอบได้” หลังจากนั้น นายพงศกร ได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรศรีราชา ไว้เรียบร้อยแล้ว 2010-03-20 |