พิธีเปิดงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานภาคตะวันออก ประจำปี 2553

        วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553 กระทรวงแรงงาน จัดงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานภาคตะวันออก ในเรื่องแรงงานปลอดภัย สุขภาพอนามัยดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม ณ หอประชุมธำรง บัวศรี มหาวิทยาลัยบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี

         การจัดงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานส่วนภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการจัดงานดังกล่าวต่อเนื่องทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัย และสุขภาพอนามัยของคนทำงานทุกสาขาอาชีพ สร้างเสริม และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อให้มีการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ แรงงานปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

        นายเสนีย์  จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ในนามของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ ลูกจ้าง และผู้ร่วมงานจากจังหวัดในภูมิภาคตะวันออก กล่าวให้การต้อนรับว่า จังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เป้าหมายการพัฒนาตามโครงการพัฒนาพื้นที่เป้าหมายการพัฒนาตามโครบการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การบริการและการท่องเที่ยว โดยมีท่าเรือแหลมฉบัง เป็นท่าเรือแห่งการส่งออกของประเทศที่ติดอันดับที่ 16 ของโลก มีตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่จะเป็นประตูของประเทศสู่นานาชาติ รองรับการเป็นฐานข้อมูลเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งระดับนานาชาติ รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับสากล สำหรับจังหวัดชลบุรี สถานประกอบการส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญในการดำเนินการตามมาตรฐานและกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานอย่างต่อเนื่อง

        นายภีรภัฒน์  ภรศิริเลิศกิจ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า สถานการณ์ด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยของภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว จากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม พบว่า อัตราการประสมอันตรายร้ายแรงเฉลี่ยของ 8 จังหวัด ในภาคตะวันออก อยู่ที่ 5.38 รายต่อลูกจ้างหนึ่งพันคน และจังหวัดชลบุรี อยู่ที่ 4.30 รายต่อลูกจ้างหนึ่งพันคน ซึ่งต่ำกว่าอัตราการประสบอันตรายร้ายแรงในภาพรวมของทั้งประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 6.5 รายต่อลูกจ้างหนึ่งพันคน ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก การใช้มาตรการทางกฎหมายควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการเห็นความสำคัญของการดำเนินงานด้านความปลอดภัยที่มีผลต่อภาพลักษณ์และศักยภาพในการแข่งขันเชิงธุรกิจของสถานประกอบการด้วนตนเอง

        นายสมเกียรติ  ฉายะศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นกระแสสังคมสำคัญที่ทุกประเทศไม่อาจต้านทานได้ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตอบสนองกระแสสังคมนี้อย่างทันท่วงที โดยในส่วนของกระทรวงแรงงานได้จัดทำยุทธศาสตร์เพื่อการสร้างวัฒนธรรมและปลุกจิตสำนึกของความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม โดยทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชนทั่วไปต้องได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม หัวใจหลักของความรับผิดชอบต่อสังคม คือ ความสมัครใจที่จะรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่สังคมและสิ่งแวดล้อม อันมีผลมาจากการตันสินใจ หรือการดำเนินงานขององค์การ โดยมีหลักการปฏิบัติที่สำคัญ 7 ประการ คือ 1. ความรับผิดชอบ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำและการตัดสินใจที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 2.ความโปร่งใส หมายถึง การกระทำและการตัดสินใจขององค์กรที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ต้องมีความโปร่งใสและอธิบายได้อย่างมีหลักการและเป็นเหตุเป็นผล 3. จริยธรรม เป็นแนวทางการตัดสินใจและการดำเนินงานขององค์กรต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักจริยธรรม ความถูกต้องและเป็นธรรม 4.ความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นการพิจารณาแจกแจงส่วนได้ส่วนเสียที่อาจเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน และให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างจริงใจ 5. เคารพต่อหลักนิติธรรม หมายถึง การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด 6. ยอมรับในมาตรฐานสากล เป็นการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคม และ7. เคารพต่อสิทธิมนุษยชน การยอมรับถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อการยอมรับของสังคม

      สำหรับความรับผิดชอบต่อสังคมที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงแรงงาน โดยตรงมีหัวข้อหลักที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การปฏิบัติด้านแรงงาน ซึ่งครอบคลุมเรื่องของสภาพการจ้างงาน และการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างในที่ทำงาน กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีภารกิจหลักในการผลักดัน ส่งเสริม และสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการและลูกจ้างแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานมาโดยตลอด

ปริญญา/ข่าว/ภาพ   2010-09-03